Wednesday, September 27, 2006

“ ค ว า ม รั ก” ข อ ง คุ ณ คื อ อ ะ ไ ร ?




  • “ความรัก” คือ โชคอย่างหนึ่งเพราะใช่ว่าทุกคนจะมีได้
    “ความรัก” เป็นได้ทั้งมือ เเละผ้าพันเเผลเวลาเสียใจ
    “ความรัก” คือ สิ่งเติมเต็มให้ชิวิตไม่รู้สึกขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง
    “ความรัก” คือ ความหวัง กำลังใจ เเละศรัทธาในกันเเละกัน
    “ความรัก” มีความลับอยู่อย่างหนึ่งว่า . .
    ไม่ได้รักในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข
    เเต่เรากลับมีความสุขในสิ่งที่เรารักต่างหาก
    “ความรัก” คือ ศิลปะ ที่คนมีรักเท่านั้นที่จะเข้าใจเเละเห็นคุณค่า
    “ความรัก” คือ โอกาส ที่เราจะได้พิสูจน์จิตวิญญาณของตัวเอง
    “ความรัก” คือ สิ่งที่ทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ ทำให้คนโง่กลาย เป็นคนฉลาด
    “ความรัก” เมื่อสูญเสียไปเเล้วก็ยังดีกว่าไม่เคยรัก
    “ความรัก” มิได้เป็นการก้าวนำ หรือก้าวตามเเต่เป็นการก้าวไปพร้อมๆ กัน
    “ความรัก” ทำให้คนเราเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์เดิมๆ ของชีวิต
    “ความรัก” ทำให้จดจำคืนพิเศษคืนเดียวไปตลอดชีวิต . .
    เพราะทุกคืนที่ ไร้“ ความรัก” ก็มิอาจเทียบเท่าได้กับคืนนี้เพียงคืนเดียว
    “ความรัก” คือการยอมเป็นน้ำเย็นในขณะที่อีกฝ่ายร้อนเป็นไฟ
    “ความรัก” ที่มีมาเป็นปีๆ ก็สามารถพังทลายลงได้เพียงเสี้ยววินาที
    “ความรัก” จะยาวนาน หรือจะเเสนสั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนสองคนที่รักกัน
    “ความรัก” กว่าจะพบเจอได้นั้นเเสนยาก แต่กลับเลิกรักได้อย่างง่ายดาย
    “ความรัก” สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลาเหมือนถ่านไฟเก่าที่กำลังคุโชน
    “ความรัก” ต่อให้บอกกันทุกวันว่าก็ไม่มีวันเบื่อ . .
    เเต่ความเกลียดสิบอกกันครั้งเดียวก็คงไม่อยากได้ยินอีกต่อไป
    “ความรัก” ถ้าไม่รักเเล้วต่อให้พูดมากเท่าใดก็ไม่สามารถรักกันได้
    “ความรัก” สามารถให้อภัยกันได้เสมอ โดยไม่มีเงื่อยไขว่ากี่ครั้ง
    “ความรัก” รักได้เเต่อย่าหลง เพราะถ้าหลงเวลาเลิกเเล้วจะเจ็บปวด
    “ความรัก” อยู่เหนือคำทำนาย เเละจะไม่มีวันเป็นไปตามคำพยากรณ์ ได้
    “ความรัก” คือสิ่งแปลกใหม่ที่จะทำให้มุมมองของคุณเปลี่ยนไปจาก เดิม
    “ความรัก” ทำให้คุณอยู่นิ่งๆ เงียบๆ ได้นานกว่าเดิม
    “ความรัก” คือสิ่งที่ทำให้เกิดประกายไฟในหัวใจ
    “ความรัก” คือการเริ่มคิดเป้าหมายเเห่งชีวิต
    “ความรัก” คือการร่วมฝัน ร่วมปันใจเเละก้าวไปในชีวิต
    “ความรัก” คือการอยู่เคียงข้างกันเสมอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตกต่ำเพียงใด
    “ความรัก” ไม่ว่าจะเป็นเเบบไหนยังไง มันก็ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
    “ความรัก” เป็นนามธรรมที่มองไม่เห็น เเต่สัมผัสไได้ด้วยหัวใจ
    “ความรัก” ทำให้วันเลวร้ายไม่เป็นวันเลวร้ายที่สุด
    “ความรัก” ทำให้วันที่เเสนเศร้า กลายเป็นวันที่สุขที่สุดได้
    “ความรัก” เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถจะหาได้ง่ายตามท้องถนน
    “ความรัก” ที่รีบร้อน มักจะพบกับจุดสิ้นสุดได้รวดเร็วเสมอ
    “ความรัก” คือสิ่งที่เเม้จะทำความเจ็บปวดให้ เเต่ก็ไม่มีใครที่กลัวหรือ เกลียดชัง
    “ความรัก” ไม่ได้จบลงเเค่การเเต่งงาน หรือมี SEX เท่านั้น
    “ความรัก” คือสิ่งที่คุณจะพบได้เองโดยมิต้องเเสวงหา
    “ความรัก” คือสิ่งที่ยืนยาวกว่าชีวิตคนคนหนึ่ง
    “ความรัก” ในยามเเรกรักคือช่วงเวลาของรักที่หวานหอมมากที่สุด
    “ความรัก” ครั้งเเรกเเละครั้งสุดท้ายมักจะเป็นรักในตนเอง
    “ความรัก” ทำให้คนกลายเป็นกวี
    “ความรัก” ไม่ใช่การมองตากัน เเต่เป็นการมองไปในทิศทางเดียวกัน
    “ความรัก” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ไม่มีคำว่าสายไป
    “ความรัก” คือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ
    “ความรัก” ทำให้ทุกอย่างสว่าง เเละสดใส
    “ความรัก” คือการพึงพอใจในสิ่งที่รัก
    “ความรัก” จะมีคุณค่าได้ต่อเมื่อคนที่รักต้องให้เกียรติซึ่งกันเเละกัน
    “ความรัก” บางทีก็เป็นสะพานทอดไปสู่การเเต่งงานสำหรับหลายๆ คู่ (คุณว่าจริงไหม?)
    และนี่คือตัวอย่าง “ความรัก” บางตอนเท่านั้น . . ว่าแต่ “ความรัก” ของเพื่อนๆ ละคะเป็นแบบนี้หรือเปล่าเอ่ย?
    “ความรัก” คือ โชคอย่างหนึ่งเพราะใช่ว่าทุกคนจะมีได้
    “ความรัก” เป็นได้ทั้งมือ เเละผ้าพันเเผลเวลาเสียใจ
    “ความรัก” คือ สิ่งเติมเต็มให้ชิวิตไม่รู้สึกขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง
    “ความรัก” คือ ความหวัง กำลังใจ เเละศรัทธาในกันเเละกัน
    “ความรัก” มีความลับอยู่อย่างหนึ่งว่า . .
    ไม่ได้รักในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข
    เเต่เรากลับมีความสุขในสิ่งที่เรารักต่างหาก
    “ความรัก” คือ ศิลปะ ที่คนมีรักเท่านั้นที่จะเข้าใจเเละเห็นคุณค่า
    “ความรัก” คือ โอกาส ที่เราจะได้พิสูจน์จิตวิญญาณของตัวเอง
    “ความรัก” คือ สิ่งที่ทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ ทำให้คนโง่กลาย เป็นคนฉลาด
    “ความรัก” เมื่อสูญเสียไปเเล้วก็ยังดีกว่าไม่เคยรัก
    “ความรัก” มิได้เป็นการก้าวนำ หรือก้าวตามเเต่เป็นการก้าวไปพร้อมๆ กัน
    “ความรัก” ทำให้คนเราเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์เดิมๆ ของชีวิต
    “ความรัก” ทำให้จดจำคืนพิเศษคืนเดียวไปตลอดชีวิต . .
    เพราะทุกคืนที่ ไร้“ ความรัก” ก็มิอาจเทียบเท่าได้กับคืนนี้เพียงคืนเดียว
    “ความรัก” คือการยอมเป็นน้ำเย็นในขณะที่อีกฝ่ายร้อนเป็นไฟ
    “ความรัก” ที่มีมาเป็นปีๆ ก็สามารถพังทลายลงได้เพียงเสี้ยววินาที
    “ความรัก” จะยาวนาน หรือจะเเสนสั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนสองคนที่รักกัน
    “ความรัก” กว่าจะพบเจอได้นั้นเเสนยาก แต่กลับเลิกรักได้อย่างง่ายดาย
    “ความรัก” สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลาเหมือนถ่านไฟเก่าที่กำลังคุโชน
    “ความรัก” ต่อให้บอกกันทุกวันว่าก็ไม่มีวันเบื่อ . .
    เเต่ความเกลียดสิบอกกันครั้งเดียวก็คงไม่อยากได้ยินอีกต่อไป
    “ความรัก” ถ้าไม่รักเเล้วต่อให้พูดมากเท่าใดก็ไม่สามารถรักกันได้
    “ความรัก” สามารถให้อภัยกันได้เสมอ โดยไม่มีเงื่อยไขว่ากี่ครั้ง
    “ความรัก” รักได้เเต่อย่าหลง เพราะถ้าหลงเวลาเลิกเเล้วจะเจ็บปวด
    “ความรัก” อยู่เหนือคำทำนาย เเละจะไม่มีวันเป็นไปตามคำพยากรณ์ ได้
    “ความรัก” คือสิ่งแปลกใหม่ที่จะทำให้มุมมองของคุณเปลี่ยนไปจาก เดิม
    “ความรัก” ทำให้คุณอยู่นิ่งๆ เงียบๆ ได้นานกว่าเดิม
    “ความรัก” คือสิ่งที่ทำให้เกิดประกายไฟในหัวใจ
    “ความรัก” คือการเริ่มคิดเป้าหมายเเห่งชีวิต
    “ความรัก” คือการร่วมฝัน ร่วมปันใจเเละก้าวไปในชีวิต
    “ความรัก” คือการอยู่เคียงข้างกันเสมอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตกต่ำเพียงใด
    “ความรัก” ไม่ว่าจะเป็นเเบบไหนยังไง มันก็ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
    “ความรัก” เป็นนามธรรมที่มองไม่เห็น เเต่สัมผัสไได้ด้วยหัวใจ
    “ความรัก” ทำให้วันเลวร้ายไม่เป็นวันเลวร้ายที่สุด
    “ความรัก” ทำให้วันที่เเสนเศร้า กลายเป็นวันที่สุขที่สุดได้
    “ความรัก” เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถจะหาได้ง่ายตามท้องถนน
    “ความรัก” ที่รีบร้อน มักจะพบกับจุดสิ้นสุดได้รวดเร็วเสมอ
    “ความรัก” คือสิ่งที่เเม้จะทำความเจ็บปวดให้ เเต่ก็ไม่มีใครที่กลัวหรือ เกลียดชัง
    “ความรัก” ไม่ได้จบลงเเค่การเเต่งงาน หรือมี SEX เท่านั้น
    “ความรัก” คือสิ่งที่คุณจะพบได้เองโดยมิต้องเเสวงหา
    “ความรัก” คือสิ่งที่ยืนยาวกว่าชีวิตคนคนหนึ่ง
    “ความรัก” ในยามเเรกรักคือช่วงเวลาของรักที่หวานหอมมากที่สุด
    “ความรัก” ครั้งเเรกเเละครั้งสุดท้ายมักจะเป็นรักในตนเอง
    “ความรัก” ทำให้คนกลายเป็นกวี
    “ความรัก” ไม่ใช่การมองตากัน เเต่เป็นการมองไปในทิศทางเดียวกัน
    “ความรัก” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ไม่มีคำว่าสายไป
    “ความรัก” คือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ
    “ความรัก” ทำให้ทุกอย่างสว่าง เเละสดใส
    “ความรัก” คือการพึงพอใจในสิ่งที่รัก
    “ความรัก” จะมีคุณค่าได้ต่อเมื่อคนที่รักต้องให้เกียรติซึ่งกันเเละกัน
    “ความรัก” บางทีก็เป็นสะพานทอดไปสู่การเเต่งงานสำหรับหลายๆ คู่ (คุณว่าจริงไหม?)
    และนี่คือตัวอย่าง “ความรัก” บางตอนเท่านั้น . . ว่าแต่ “ความรัก” ของเพื่อนๆ ละคะเป็นแบบนี้หรือเปล่าเอ่ย?

Friday, September 22, 2006

Château de Versailles



C'est en 1038 qu'apparaît la première mention de Versailles, dans une charte de l’abbaye Saint-Père de Chartres. Hugo de Versaillis est l’un des signataires. Au Xe siècle, des moines défrichent le terrain et fondent l’église prieuré de Saint-Julien.
En 1429, deux seigneurs, Guy et Pierre de Versailles, sont mêlés à la vie de Jeanne d’Arc. Pierre était à Bourges, quand on examina la Pucelle ; quant à Guy, chanoine de Tours, il participa au procès de Jeanne d’Arc. À la fin de la guerre de Cent Ans, le petit bourg se présentait dans un triste état : ses maisons pillées et dévastées sont abandonnées, et le château est en ruine. C’est la famille de Soisy qui relève les bâtiments détruits qui sont composés d’un corps de logis principal et d’une aile en retour, précédés d’un portail encadré de deux tourelles.
Le nom d’un petit bourg, Versaille-aux-bourg-de-Galie, apparaît dans un texte daté de 1472. Les seigneurs de Versailles relevaient directement du Roi. Leur modeste château dominant l’église et le village se dressait sur la pente méridionale de la butte sur laquelle sera construit le futur château.
En 1475, Gilles de Versailles, seigneur de Versailles, cède ses droits sur Trianon à l’abbé de Saint-Germain. L’acte de vente est la première mention de ce nom. Trianon était un village acheté puis détruit par Louis XI dans le but de construire sur ces nouvelles terres du domaine royal une maison à collationner. Cherchant à fuir en famille le protocole trop pesant de Paris, le roi était à Trianon plus proche des siens. Premier caprice royal de Versailles, Trianon, comme plus tard Marly, demeure un lieu de détente, loin de l’étiquette et des fatigues du pouvoir.
En 1561, le domaine est vendu à Martial de Loménie, secrétaire des finances de Charles IX, qui l’agrandit pour atteindre 150 hectares.
En 1572 : le 24 août, le roi Charles IX est assassiné la nuit de la Saint-Barthélemy. L’Estoile rapporte dans ses Mémoires que la reine Catherine de Médicis « fit étrangler, dans l’intérêt du comte de Retz, pour lui faire avoir le château de Versailles, le secrétaire d’État Loménie, qui en était possesseur. » Ce crime n’est peut-être pas authentique, mais il n’est pas invraisemblable.
L'année suivante, Albert de Gondi (baron de Marly), comte de Retz, un des Florentins qui accompagnent Catherine de Médicis en France, devient propriétaire du château et de la seigneurie de Versailles en rachetant le domaine pour 35 000 livres.
En 1589, un mois avant qu’il ne devienne roi de France, le roi de Navarre séjourne à Versailles. Revenant de Blois, il s’y arrête du 7 au 9 juillet et est reçu par Albert de Gondi ; il y retourne en 1604 et 1609. Entre temps, en 1607, le dauphin, qui deviendra Louis XIII, fait sa première chasse à Versailles.
En 1616, Albert de Gondi cède la seigneurie à son fils Jean-François de Gondi.
Cute Cursors from Dollielove.com
นี่ ๆ เ ท อ เ ข้ า ม า blog เ ร า

วิ น า ที แ ล้ ว น ะ


เพลง ในมุมหนึ่ง

meizz